ทำไมบางมื้อจึงอิ่มกว่า ทั้งที่แคลอรีเท่ากัน?
ทำความรู้จักดัชนี ESI™ เกณฑ์อ้างอิงที่ชัดเจนและมีหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อเข้าใจความอิ่ม จัดการมื้ออาหาร และยกระดับแผนโภชนาการของคุณ
ทำไมต้องพูดถึง “ความอิ่มต่อหนึ่งแคลอรี” ?
เรากินเพื่อรับพลังงาน (กิโลแคลอรี) แต่เราหยุดกินเมื่อกระเพาะเต็ม. ดังนั้น มื้อที่ 800 kcal เท่ากัน อาจให้ความรู้สึกอิ่มต่างกันมาก.
- ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 kcal แต่แทบไม่เพิ่มปริมาตรในกระเพาะ,
- น้ำ 1 กรัมไม่ให้พลังงาน แต่กินพื้นที่ในกระเพาะ.
อาหารที่มีน้ําและใยอาหารสูง จะเติมกระเพาะได้มาก โดยไม่เพิ่มแคลอรีรวมมากนัก

จุดประสงค์ของ ESI คือบอกว่ามื้ออาหารทำให้เราอิ่มได้แค่ไหนต่อหนึ่งหน่วยพลังงาน.
เราบวกรวมสารอาหารที่ “เพิ่มปริมาตร” หรือกระตุ้นความอิ่ม:
- น้ำ (เติมพื้นที่เชิงกล) → ค่าสัมประสิทธิ์ 1
- โปรตีน (สัญญาณฮอร์โมน) → ค่าสัมประสิทธิ์ 2
- ใยอาหาร (ปริมาตร + การระบายน้ำย่อยช้าลง) → ค่าสัมประสิทธิ์ 4
จากนั้นหารด้วยkcal เพื่อได้ค่า ประสิทธิผล ต่อแคลอรี.
คูณผลลัพธ์ด้วย 100 เพื่อให้ตัวเลขอ่านง่าย (ประมาณ 40 – 300).
ไขมันและน้ำตาลไม่อยู่ในตัวตั้ง เพราะให้แคลอรีสูงแต่แทบไม่เพิ่มปริมาตร จึงกดอัตราส่วนลงโดยอัตโนมัติ.
อัตราส่วนน้ำต่อแคลอรี (RHC)
≥ 5 g/kcal
ให้ความชุ่มน้ำสูงมาก
2 – 4.9 g/kcal
ให้ความชุ่มน้ำ
1 – 1.9 g/kcal
ค่าเฉลี่ยทั่วไป
< 1 g/kcal
หนาแน่น / แห้ง
กรณีศึกษา
“แตงโม 500 g” vs “แตงโม 500 g + สเต๊กซี่โครงแกะ 250 g”
| แตงโม 500 g | ซี่โครงแกะย่าง 250 g | รวมทั้งมื้อ | |
|---|---|---|---|
| น้ำ (g) | 455 | 145 | 600 |
| โปรตีน (g) | 3.5 | 64.3 | 67.8 |
| ใยอาหาร (g) | 2.5 | 0 | 2.5 |
| kcal | 195 | 600 | 795 |
การคำนวณ
| ดัชนี | สูตร | แตงโมเดี่ยว | มื้อรวม |
|---|---|---|---|
| RHC | น้ำ ÷ kcal | 455 / 195 = 2.33 | 600 / 795 = 0.76 |
| ESI | (น้ำ + 2P + 4F) ÷ kcal × 100 | (455 + 7 + 10) / 195 × 100 ≈ 242 | (600 + 136 + 10) / 795 × 100 ≈ 94 |
การตีความผลลัพธ์
| แตงโมเดี่ยว | แตงโม + ซี่โครงแกะ | |
|---|---|---|
| การให้ความชุ่มน้ำ | ชุ่มน้ำ (RHC 2.33) | หนาแน่น/แห้ง (RHC 0.76) |
| ความอิ่ม | อิ่มมาก (ESI 242) | อิ่มปานกลาง (ESI 94) |
สาระสำคัญ: ซี่โครงแกะเพิ่มแคลอรีอย่างมาก แต่แทบไม่เพิ่มน้ำหรือใยอาหาร
“ความอิ่มต่อหนึ่งแคลอรี” จึงดรอปลง → ค่าดัชนีต่ำลง
อธิบายกับลูกค้ายังไง?
ลองนึกภาพซุปผักร้อนๆ: เบา แต่น้ำและใยอาหารสูง จึงกินพื้นที่ในกระเพาะมาก แต่ให้แคลอรีน้อย — เหมือนแทงก์ใบใหญ่ที่เต็มด้วยอากาศและน้ำ.
แต่ถ้าเพิ่มชีสมันๆ หรือขนมปังทาเนยเข้าไป ปริมาตรเกือบไม่เปลี่ยน แต่ความหนาแน่นพลังงานพุ่งขึ้น กล่าวคือ คุณใส่ “เชื้อเพลิง” เข้าไปเยอะ โดยแทบไม่เพิ่ม “ปริมาตร”.
“ESI แสดงสิ่งนี้ชัดเจน: เมื่อเติมอาหารที่พลังงานหนาแน่นมากลงในมื้อที่มีน้ำและใยอาหารสูง แคลอรีจะพุ่ง แต่ความอิ่มต่อแคลอรีจะลดลงโดยอัตโนมัติ.”
มองอีกแบบ ISE ก็เหมือน“ราคา/กก.” ของความอิ่ม: ถ้าผสมของแพงมากต่อหน่วยแคลอรีเข้ากับของที่ให้ปริมาตรดี ค่าเฉลี่ยจะดิ่ง เพียงเติมของหนาแน่นเล็กน้อย ก็ทำให้สมดุลทั้งมื้อแย่ลงได้.
`
การประยุกต์ใช้จริง
บาลานซ์จาน “แห้ง/หนาแน่น”
- ลดสัดส่วนอาหารที่หนาแน่นพลังงาน
- เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี (น้ำ + ใยอาหาร)
“จานของคุณโปรตีนถึงแล้ว แต่ขาดน้ำและใยอาหารต่อทุก 100 kcal. ลองเพิ่มผักนึ่ง 200 g: โปรตีนเท่าเดิม, RHC กลับไป > 1, และ ISE เกิน 130.”
ข้อจำกัดของดัชนี
- ไม่แทนที่ความหนาแน่นจุลโภชนาการ (วิตามิน แร่ธาตุ)
- ไม่ประเมินความอิ่มเชิงรสสัมผัส (เนื้อสัมผัส กลิ่น เวลาเคี้ยว)
มินิควิซ (ประเมินตัวเอง)
สรุปประเด็นสำคัญ
- ISE และ RHC เป็นอัตราส่วน
เพิ่มอาหารที่หนาแน่นและน้ำน้อย/ใยน้อย → ค่าดัชนีลด. - โปรตีนสำคัญ (×2) แต่ใยอาหาร (×4) และน้ำ (×1) คือแรงขับหลักของ “ปริมาตรที่ทำให้อิ่ม”.
ภาคปฏิบัติ: มื้อที่ดี = น้ำ + ใย + โปรตีนพอเหมาะ โดยควบคุมความหนาแน่นพลังงาน.
คอร์สฟรี: เข้าใจ ISE™
อยากต่อยอด?
ออกแบบมื้อให้สมดุลตาม ESI™ ด้วย DietHelper™ Offline.
อยากสร้างมื้อสมดุลตาม ISE ด้วย DietHelper™ Offline
👇
